ฮีโร่ประจำซอย EP3 ผู้กล้าทั้ง 21 คน

  • photo  , 960x540 pixel , 70,020 bytes.
  • photo  , 960x540 pixel , 66,905 bytes.
  • photo  , 960x540 pixel , 100,030 bytes.
  • photo  , 960x540 pixel , 68,060 bytes.
  • photo  , 960x540 pixel , 103,845 bytes.
  • photo  , 960x540 pixel , 73,317 bytes.
  • photo  , 813x457 pixel , 71,418 bytes.
  • photo  , 960x540 pixel , 69,457 bytes.
  • photo  , 960x540 pixel , 87,744 bytes.

ฮีโร่ประจำซอย เขียนโดย ถนอม ขุนเพ็ชร์

Ep.3 ผู้กล้าทั้ง 21 คน


“ หมู่บ้านประกายทอง เขตเทศบาลเมืองควนลัง  ผมอยู่มาเป็นปีที่ 15 ถ้ารวมทั้งหมู่บ้าน 113 หลัง ผมรับเป็นประธานหมู่บ้านจิตอาสามาเป็นปีที่ 8 ไม่รับค่าตอบแทน ผมมีอีกหลายหัวโขนทางสังคม อย่างเช่น รองนายกกู้ภัยใต้กตัญญู 


“ผมเป็นเจ้าของสำนักงานตัวแทนประกันชีวิต ตำแหน่งผู้อำนวยการ 5 ของบริษัท  Generaliประกันชีวิต มีกติกาของครอบครัวว่า 5 % ของรายได้ ทำบุญ ใครรู้จักผมจะรู้ว่าชอบทำบุญมาก ทางพุทธ และช่วยเหลือคนทั่วไป ปีหนึ่ง เปิดโรงทานไม่ต่ำกว่า 25 โรงทาน ทำมาเป็น 10 ปี  ผมคิดเรื่องแบบนี้มาแต่เด็ก ตอนเรียนมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลศรีวิชัย สงขลา ผมเป็นนายกสโมสรผู้ก่อตั้งชมรมคนรักเล  จุดเริ่มต้นที่รู้สึกว่าทำเพื่อคนอื่นแล้วมีความสุข


“ ผมช่วยน้ำท่วมมาทุกปี ระโนด นครศรีฯ พัทลุง ยะลา ปัตตานี ตอนแรกซื้อข้าวสารไปแจกก็ง่ายดี แต่เพิ่งมารู้ว่าข้าวสาร ในสถานการณ์น้ำท่วม เขาหุงไม่ได้ ก็เริ่มทำข้าวไปแจก  วัตถุดิบต่างๆ ผมก็เอาเงินตัวเองซื้อ ปีนี้ผมคือผู้ประสบภัย ซื้อบ้านมา 12 ปีก็ไม่เคยท่วม ทำโรงรถเป็นออฟฟิศ คนอื่นเขาเข้าแค่โรงรถ  แต่บ้านผมเข้าออฟฟิศ เพราะโรงรถเป็นออฟฟิศ

“วันนั้นดูข่าวเทศบาลนครหาดใหญ่ที่ไลฟ์สด เห็นแล้วว่าน้ำเริ่มมา แต่เราไม่ได้เตรียมตัวเลย ราวสัก 2 ทุ่ม ออกไปหาซื้ออะไรไม่ทันแล้ว นั่นเป็นน้ำรอบแรก  ปริ่มหน้าบ้าน


ผมกับภรรยาเครียดมาก เพราะไม่ได้ช่วยใครเลย ทั้งๆที่ผ่านมาเราจะต้องเป็นหน่วยแรก ที่จะ ไปถึงพื้นที่ประสบภัย 2 วันแรกทำอะไรไม่ได้เลย


“โชคดีที่บ้านผมหลังวิกฤตโควิดเราทำอาหารกินเอง เราซื้อของตุนไว้เยอะๆ เพราะขี้เกียจไปตลาด ก็แปลความว่า เป็นโอกาสได้แบ่งปันเพื่อนบ้าน เราทำอาหารแจกทุกวัน แต่ไม่ได้ทำเป็นล่ำเป็นสันนะ  ใครผ่านหน้าบ้านเรียกกิน ก็หุงข้าวต้ม ทำข้าวผัดง่ายๆ ผมถือว่า 100 กว่าครอบครัวสนิทกับผมหมด บ้านผมติดโซลาร์เซล 100%ไม่ใช้ไฟฟ้าจาก กฟภ. (ใช้เพียงเดือนละ  5 หน่วยในการดึงมาเลี้ยงระบบโซลาร์เซล)  ตอนไฟดับผมก็เปิดให้คนอื่นมาชาร์ตแบต ที่บ้านผมได้หมดเลย ขอเพียงอย่างเดียว อย่าเอาเครื่องเก็บไฟ(พาวเวอร์แบงค์) มาชาร์ต เพราะทำให้แบตผมหมด ส่วนใหญ่เอาโทรศัพท์ ไฟฉายมาชาร์ต ช่วงที่หาดใหญ่ถูกตัดไฟ บ้านผม เป็นหลังเดียวที่เปิดไฟทั้งคืน เพื่อจะให้ใครก็ได้มาชาร์ตไฟ เปิดแบบโอเพนเลย  มั่นใจว่าคนในหมู่บ้านคงไม่มีใครมาขโมยของที่บ้านเรานะ เราเปิดไฟเอาไว้ ใครจะมาเสียบแบต ใครเหงามานอน ที่บ้านก็เป็นศูนย์อพยพนะ หลายครอบครัวที่มีเด็กต้องการพัดลมก็ให้มานอนที่บ้าน  หลายครอบครัว มีผู้สูงอายุ ต้องการไฟ ต้องการห้องน้ำ ผมก็ให้มาอยู่ที่บ้าน /บ้านผมเป็นบ้านทาวโฮม 2 ชั้น ธรรมดา ไม่ได้หรูหราอะไร ผมก็บอกทุกคนว่าบ้านผมไม่ได้ใหญ่นะ แต่ใจเจ้าของบ้านมันใหญ่  อยู่ได้ตามสบายเลย ไม่มีปัญหาอะไร


“หลังน้ำระลอกแรกลดในช่วงรุ่งเช้า เราก็มีความสุข กับข้าวในตู้เย็น เอาออกมา เพราะคิดว่าจบแล้ว ราว บ่าย 2  น้ำขึ้นอีก หมู่บ้านเราติดคลองชลประทาน น้ำเริ่มล้นคลอง เราก็คิดว่าชัวร์แล้ว ดินเดิมมันอุ้มน้ำแบบเต็มที่หมู่บ้านสไตล์คนเมือง ไปทำงาน กลับมา อยู่ในบ้านตัวเอง ต่างคนต่างอยู่ คราวนี้เห็นว่าทุกคนออกมาช่วยกันป้องกันน้ำ กระสอบทรายไม่มี เราก็ช่วยกันหาวัสดุมาทำระบบกั้นน้ำ


“หลังติดน้ำท่วมอาหารขาดแคลน มีภาพที่ออกข่าวโทรทัศน์ ผมพาลูกบ้าน 21 ชีวิตลุยน้ำกันไป หา ข้าว น้ำ ที่เทศบาลเมืองควนลัง ระยะทาง ประมาณ  1 กม. แต่ในช่วงน้ำท่วมอย่างนั้น เราต้องอ้อมกว่า 3 กม.  ไปกลับ 6 กม.  ลุยไป พอเจอทางตันก็ต้องหาทางใหม่  ผมยอมรับว่ากลัวน้ำ เพราะว่าในปีที่ไปช่วยยะลา เคยมีอุบัติเหตุเรือคว่ำ เกือบเสียชีวิต เรายังมีความกลัว เจอน้ำแรงก็รู้สึกเสียว  แต่วันนั้นถ้าเราไม่นำ มันไม่ได้กินกันแน่ เสบียงหมด ไม่ได้ออกไปซื้อ ร้านค้าก็ปิดหมด


“รวมคนได้ 21 คน เราก็ขออาสาผู้ชายบ้านละคน  พูดชัดเจนว่าบ้านไหนมีผู้ชายแล้วไม่ส่งออกมา ข้าวไม่ต้องรับ แต่เราก็ไม่ได้ใจร้ายขนาดนั้น แค่อยากให้ทุกคนมีบทบาท  ไม่ใช่นอนรอความช่วยเหลือ หรือ ไม่ได้ช่วยอะไร เอาแต่โพสต์เฟสด่าอย่างเดียว  อย่างนี้ผมไม่เอา

“6 กม. นี่ใช้เวลานานมา ผมเรียกรวมพล 08.30น. ได้ออก ประมาณ 9 โมง  กลับมาถึง บ่ายโมงกว่าเดินตัวเปล่านั่นแหละ ผมเดินนำถือไม้ยาว 2 เมตร ไว้แทงน้ำวัดระยะ  ผมพูดว่า เราไปหาข้าวมากินนะ ไม่ได้พาใครไปตาย เพราะฉะนั้น ใครไม่มั่นใจ อย่าไป  พอเราพูด ก็จะมีผู้กล้า ที่จะมี คนที่ว่ายน้ำไม่เป็นแต่อยากไป  กับอีกประเภทหนึ่งฉันพร้อม ร่างกายแข็งแรง อยู่แนวหน้า คนไม่พร้อมก็อยู่แนวหลัง ทุกคนเดินไปด้วยกัน มีเชือกเส้นเดียวจับกันไป  เชือกอะไรหาได้ตอนนั้นก็มาต่อกันจนยาว ทุกคนจับเชือก ไม่ได้เอาไว้ป้องกันภัย เพียงแต่นับจำนวนกลัวคนหายตกหล่นระหว่างทาง มีการนับจำนวน จับบัดดี้ดูแล ถ้าไม่ไหว เราบอกกติกาเอาไว้ชัดเจนว่าต้องตะโกนบอก


“ไอเดียเรื่องเชือกเกิดขึ้นมาเอง ผมว่า จังหวะวิกฤต คนจะช่วยกัน ไม่คิดเยอะ และไม่มีคนค้านกันว่า แบบนั้นแบบนี้ไม่ได้  ไม่มีใครค้านว่าเชือกฟางมันขาดง่าย ไม่ต้อง จังหวะ แบบนั้น ไม่ค้านกัน ใครมีแนวคิดอะไรเอาออกมา กติกาชัดเจน ต้องดูแลตัวเอง เพราะที่เรากำลังจะไป ไม่มีใครดูแลใครได้เลย เป้าหมายคือต้องไปเทศบาล อุปสรรคสำคัญก็คือทางไกล น้ำเชี่ยว ทุลักทุเลมาก แต่สิ่งที่เราได้ระหว่างทางคือ น้ำใจ ทุกบ้านที่เดินผ่านเป็นผู้ประสบภัย บางหลังน้ำสูงถึงหน้าอก เขาก็จะมีเพิงนั่ง เมื่อเห็นพวกเรา เขาก็จะพูด ว่าพักกินน้ำ กินกาแฟก่อน ประโยคนั้นทำให้เรามีแรงเดินต่อเราก็จอดกินกาแฟในขากลับ แล้วก็แบ่งปันกันของที่ได้มา


“มือเปล่า เราไม่ได้เตรียมกาละมังอะไรไปเลย เพราะ ทุกบ้านก็เอาไปรองน้ำฝนสำหรับใช้หมดแล้ว หวังเอาดาบหน้าเท่านั้นว่าจะทำอย่างไร ที่เทศบาล เขาเตรียมจัดอาหารแจก เอาไว้เป็นชุมชน เมื่อพวกเราไป เขาจะไม่ให้ เพราะเราไม่ได้ไปในนามชุมชน เพราะให้ชุมชนไปเบิกแต่ละจุด แต่เรา หรือชาวบ้านที่ไปขอ เขาให้แค่ คนละ 1-2 กล่อง  เพราะเขาจัดเป็นระบบชุมชน เป็นระบบการบริหารของเทศบาล บังเอิญว่า นากเทศมนตรี นายกครก อยู่พอดี รู้จักผมอยู่แล้ว ก็บอกว่าให้เอาไปได้เลย เพราะรู้ว่าเรามาเอาให้ชาวบ้านจริงๆ


“ที่คนมองว่าเทศบาลไม่ช่วย ผมว่ามันไม่ทันจริงๆ แต่ก่อนผมก็เป็นอาสาสมัคร ช่วยทำกับข่าว แพ็คกล่อง ใส่ถุง เอาไปส่งตามจุดต่างๆ ทุกปี จะมีคนในเทศบาลควนลังไปช่วยเป็นหลัก 100-200 คน แต่ในวันนั้น มีคนช่วยไม่ถึง 50 คน เพราะอาสาสมัครกลายเป็นผู้ประสบภัยหมดแล้ว เจ้าหน้าที่เทศบาลกลายเป็นผู้ประสบภัยบางคน บ้านพังหมด ทิ้งบ้านมา ช่วยแล้วก็โดนชาวบ้านด่า ผมก็นึกถึงจิตใจที่เสียสละกว่าเรามากๆ ถ้าเป็นเราคงทำใจยาก อย่างผม น้ำเข้าออฟฟิศ โต๊ะพังไป 4 ตัว เสียหายไม่เกิน 5 หมื่น ยังทำใจไม่ได้เลย คิดถึงว่าเจ้าหน้าที่เทศบาลที่น้ำท่วม ของเสียหายหมด ยังออกไป ยังถูกตำหนิว่ามาส่งช้าบ้างอะไรบ้าง คนที่ด่าไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์ ไม่รู้หรอกว่า คนที่ออกไปเป็นอาสา เสียสละขนาดไหน


“เราได้อาหารมาเป็น 100 ชุด นะ ทั้งข้าวและน้ำ ใช้เวลา เดินทาง ไปกลับราว 4 ชั่วโมงในการฝ่ากระแสน้ำเชี่ยว ขากลับนี้ลำบากกว่า เพราะต้องหิ้วต้องลาก หนักของหนักข้าว เราเอาน้ำดื่มแบบขวดกลับมา เป็น 100 แพ็ค  เพราะในหมู่บ้านเราเริ่มอดน้ำ  น้ำนี่หนักมาก เราก็พยายามลากกันกลับมา ผูกเชือกลากน้ำ ทุลักทุเล ทั้ง 21 คน ถอดใจเลย ไม่มีอยากใครเดินต่อ เพราะมันน่ากลัว น้ำมันแรง บวกกับความเหนื่อย บวกกับคนหมู่บ้านผม เป็นสังคมคนเมือง ไม่ได้เป็นเกษตรกร คนใช้แรง สมบุกสมบันอะไร ทุกคนคือเถ้าแก่หมด เห็นแววตาแต่ละคนคือหมดแล้ว ผมพยายามให้กำลังใจตลอดทาง  เมื่อถึงเป้าหมาย ผมเองก็สารภาพกับทุกคนว่าถอดใจ ตั้งแต่หน้าป้อมยามหมู่บ้านแล้ว คือผมไม่ไหวแล้ว แต่ความที่เป็นผู้นำ เราทำอย่างไรก็ได้ ให้ทุกคนสู้  พอผมเหนื่อย จะบอกว่าเอ๊า พี่เดินต่อเลย ผมจะดูคนข้างหลัง ให้เขารู้ว่า ผอ.โต๊ด สู้ว่ะ แต่ใจผมถอดหมดแล้วตอนนั้น  โอโห น้ำถึงหน้าอกตรงหน้าตลาดนัด


“ผมบอกทุกคนเลยว่า ผมพาไปเอาข้าวนะพี่ ไม่ได้ไปตายกันนะ ฉะนั้นอย่าเสี่ยงนะถ้าเห็นว่าตัวเองเอาไม่รอดแล้ว ห้ามเด็ดขาดเพราะไม่มีใครช่วยใครได้  พอถึงจุดพักเดินทางเราก็บิ้วกันทีหนึ่ง ว่าห้ามเสี่ยงถ้าเกิดพี่เกิดพลาด เจอกันอีกทีโน่นแหละ แหลมโพธิ์ (ปลายน้ำก่อนลงทะเลสาบ)  ผมก็พูดอย่างนี้อย่างเดียว หมายถึงว่าใครไม่พร้อมหยุดได้เลย เดินทางกลับก่อนไม่มีใครว่า  จึงมีคนเดินทางถึงเทศบาลจริงๆ  เพียง 11 คน ที่เหลือก็รอรับอยู่ระหว่างทาง ที่ไปด้วยกัน ต้องยอมรับว่า บางคนอายุมาก บางคนไม่แข็งแรง คนที่รอระหว่างทางก็หาของไปด้วย เมื่อรถกู้ชีพ กู้ภัยที่เขามา จากต่างจังหวัด ที่ติดถุงยังชีพมาเยอะๆ เราก็ขอ แต่ก็ไม่ทันชาวบ้าน ก็อย่างว่าหมู่บ้านเรา เป็น หมู่บ้านคนเมือง แย่งสู้กับคนอื่นไม่เก่ง พอรถมา ชาวบ้านที่เดือดร้อนกว่าเราจะกุลีกุจอ ไปชิงกันใหญ่ แต่พวกเราก็เหนียมอายกันอยู่  รถมา คนไปรุม ทีมเราก็ยืนดูอยู่ พอคนเริ่มซาเข้าไปเอาบ้างของก็หมดแล้ว


“ผมไม่อยากให้ภาพอย่างนี้มันเกิดขึ้นอีก แต่สิ่งที่ได้ตามมาเห็นว่าทุกคนเสียสละ ในหมู่บ้านตอนนี้ทุกคนเจอกันเหมือนพี่น้องกันเลย จากเมื่อก่อนบ้านใครบ้านมัน หรือก็แค่คนรู้จัก  คณะที่กลับมาจากรับของเทศบาล พอเราใกล้ถึงก็ประกาศ คนในหมู่บ้านมารอที่ป้อมยามหมู่บ้าน หมู่บ้านมี รปภ.นะ แต่น้ำก็ท่วมบ้าน เราก็บอกให้เขากลับไปดูแลบ้านเขาได้เลย  ลูกบ้านก็จะช่วยมาเป็นเวรยามแทน  ซึ่งเวรยามที่มาทำหน้าที่จะไปบอกคนอื่นว่าให้มารอรับข้าวเราก็พบว่า คนที่บ้านเขามีก็เก็บอาการ ส่วนคนที่เขาไม่มีจริงๆ เขาหมดสต๊อก หมดกับข้าวแล้ว เขาก็เดินมาเอา สุดท้ายเหลือ 10-20 กล่อง คนที่พอจะมีบ้างก็เอากลับไปกิน  มันไม่ได้เกิด แบบที่ว่าฉันอยากได้นะขอกลับบ้าน 5 กล่อง เราหิ้วข้าวกลับมา 21 ชีวิต ไม่มีใครเอา กลับเข้าบ้านตัวเอง เราเห็นน้ำใจ  ผมว่านี่แหละผมได้เห็นอะไรหลายอย่าง จากน้ำท่วมครั้งนี้ คือดีมากกว่าไม่ดี


“21 คนที่เคยเดินร่วมกัน ทุกคนภูมิใจครับ ไม่เคยเห็นภาพแบบนี้เลย ในวันที่น้ำลด มีคนบอกว่า ใครจะเอาอะไรบ้างคะ เดี๋ยวพี่จะไปตลาด ภาพแบบนี้ไม่เคยเกิดขึ้นเลย แต่มันมาเกิดหลังจากน้ำลด แล้วทุกคนพร้อมเสียสละ จะมีการประสานมาว่ามีรถไหมคะ หนูดิวน้ำเอาไว้แล้ว ผอ.ช่วยหนูหน่อย ช่วยเอาคนไปขน เอามาแจก บ้านผมกลายเป็นเซ็นเตอร์ เอาของแจกมาวาง ใครจะมา เอาก็ได้เลย ไม่ได้ปิดประตู”


ผอ.โต๊ด- ทีป์ชลิต ทองจันทร์

personมุมสมาชิก

เยือนอเมริกา ดูงานมูลนิธิชุมชน

เยือนอเมริกา ดูงานมูลนิธิชุมชน.

เครือข่าย

เครือข่ายมูลนิธิชุมชน