มูลนิธิชุมชนสงขลาสนับสนุนประเพณีกวนข้าวมธุปายาสวัดคลองแห
ย่างเข้าสู่ปีที่ 4 แล้วที่วัดคลองแหได้มีการรื้อฟื้นประเพณีกวนข้าวมธุปายาส หรือที่ชุมชนเรียกกันว่า "ข้าวยาคู" ปีนี้มูลนิธิชุมชนสงขลาได้มีส่วนร่วมกิจกรรมดังกล่าว โดยคุณชิต สง่ากุึลพงศ์ คุณอรัญ จิตตะเสโณ คุณชัยวุฒิ บุญวิวัฒนาการ และคุณชาคริต โภชะเรือง ไปร่วมงานเมื่อวันที่ 28 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา
ประเพณีกวนมธุปายาสยาคู เชื่อกันว่าแต่เดิมนั้นกระทำโดยพราหมณ์ ตามความเชื่อในศาสนาพราหมณ์ เพราะพระพุทธศาสนาเกิดขึ้นทางกลางอิทธิพลพราหมณ์ซึ่งเกิดขึ้นก่อน เมื่อมีพราหมณ์จำนวนมากเปลี่ยนมานับถือพุทธศาสนา ก็นำเอาพิธีการต่างๆ ซึ่งตนเคยทำมาปฎิบัติต่อไปด้วยความเคยชิน พระพุทธองค์ทรงเห็นว่า พิธีการทางศาสนาพราหมณ์บางพิธีนั้นไม่ทำให้เสียหายแก่ผู้ปฎิบัติ กลับทำให้เกิดความศรัทธาในความดีงามและบำรุงกำลังใจ ก็ไม่ทรงห้ามการปฎิบัติกิจเหล่านั้นแต่ประการใด ดังนั้นพุทธศาสนิกชนสมัยหลังๆมา จึงพบว่า ประเพณีพราหมณ์เข้ามาปะปนอยู่ในพุทธศาสนามากจนบางครั้งก็ไม่รู้ว่าในชั้นต้น นั้นเป็นประเพณีอันเนื่องด้วยศาสนาพุทธ หรือศาสนาพราหมณ์กันแน่
ที่มาของประเพณีกวนมธุปายาสยาคูนั้น มีผู้สันนิษฐานต่างกันออกไปเป็น 2 แนว คือ
แนวแรก พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้ทรงกล่าวไว้ในพระราชพิธีสิบสองเดือนว่า ประเพณีนี้มีที่มาปรากฏอยู่ในพระคัมภีร์ธรรมบทแห่งหนึ่ง และในคัมภีร์ มโนถบุรณีอีกแห่งหนึ่ง ทั้งสองคัมภีร์มีเนื้อหาตรงกันว่า พระพุทธองค์ได้ทรงแสดงบุพชาติของ อัญญโกณฑัญญะ ผู้ซึ่งมีความประสงค์อันแน่วแน่ที่จะศึกษาธรรมเพื่อให้บรรลุพระอรหันต์ก่อน ผู้อื่น จุดมุ่งหมายในการแสดงของพระพุทธองค์ ก็เพื่อที่จะให้พระภิกษุได้ฟังพระองค์ได้แสดงว่า เมื่อพระพุทธวิปัตสีอุบัติขึ้นในโลก มีกฏุมพีสองคนพี่น่อง คนพี่ชื่อ มหากาฬ ส่วนคนน้องชื่อว่า จุลกาฬ ทั้งสองทำข้าวสาลีในนาแปลงเดียวกัน เมื่อข้าวกำลังจะออกรวง (ท้อง) จุลกาฬไปในนา เอาท้องข้าวนั้นมากินก็รู้ว่าหวานอร่อยมาก เลยจะเอาข้าวนั้นไปถวายพระภิกษุ จึงไปบอกพี่ชาย พี่ชายไม่เห็นด้วย อ้างว่าไม่มีใครเคยทำ ทำไปก็สูญเสียข้าวไปเปล่าๆ แต่จุลกาฬก็รบเร้าอยู่ทุกวัน จนมหากาฬไม่พอใจมากขึ้นทุกที ในที่สุดก็แบ่งนาออกเป็น 2 ส่วน แบ่งกันคนละส่วน จุลกาฬให้ชาวบ้านช่วยเก็บข้าวของตน ซึ่งกำลังตั้งท้องนั้นไปผ่าแล้วต้มด้วยน้ำนมสด ไม่มีน้ำปะปนเลย ผสมเนยใส น้ำผึ้ง น้ำตาลกรวด เป็นต้น นำไปถวายพระพุทธองค์และพระสาวก โดยอธิษฐานว่า ผลทานนั้นจงเป็นเครื่องให้ตนบรรลุธรรมวิเศษก่อนคนทั้งปวง เมื่อจุลกาฬทำทานแล้วกลับไปดูนา เห็นเต็มไปด้วยข้าวสาลีก็ยินดีเป็นยิ่งนัก หลังจากนั้นก็ทำบุญในวาระต่างๆอีก รวม 9 ครั้ง จุลกาฬซึ่งมาเป็นพระอัญญาโกณฑัญญะ ก็ทำทานและมีความมุ่งมั่นเช่นเดิมมาตลอด จนในที่สุดก็ได้บรรลุพระอรหันต์ก่อนพุทธสาวกทั้งปวง จึงน่าจะสันนิษฐานได้ว่า ประเพณีการกวนข้าวมธุปายาส น่าจะเนื่องมาจากอรรถกถาที่กล่าวมาแล้วนี้
แนวที่สอง เป็นความเชื่อของชาวนคร ซึ่งเป็นความเชื่อที่เนื่องกับพระพุทธศาสนาเช่นกัน เป็นความเชื่อที่สอดคล้องกับพุทธประวัติ ตอนที่นางสุชาดา ถวายข้าวมธุปายาส ก่อนอภิสัมโพธิกาล ดังหลักฐานที่ปรากฏในพุทธประวัติเล่ม 1 ปุริมกาล ปริเฉทที่ 5 ตอนหนึ่งว่า
“ในเช้าวันนั้น นางสุชาดา บุตรีกฏุมพีนายใหญ่แห่งชาวบ้านเสนานิคม ณ ตำบลอุรุเวลา ปรารถนาจะทำการบวงสรวงเทวดา หุงข้าวมธุปายาส คือ ข้าวสุก หุงด้วยน้ำนมโคล้วนเสร็จแล้วจัดลงในถาดทอง นำไปที่โพธิพฤษ์ เห็นพระมหาบุรุษนั่งอยู่ สำคัญว่าเทวดา จึงน้อมข้าวมธุปายาสเข้าไปถวาย ในเวลานั้นบาตรของพระองค์เผอิญอันตรธานหาย พระองค์จึงทรงรับข้าวมธุปายาสนั้นทั้งถาดด้วยพระหัตถ์แล้วทอดพระเนตรแลดูนาง นางทราบพระอาการ จึงทูลถวายทั้งถาดแล้วกลับไป พระมหาบุรุษทรงถือถาดข้าวปายาสเสด็จไปสู่ท่าแห่งแม่น้ำเนรัญชรา สรงแล้วเสวยข้าวปายาสหมดแล้ว ทรงลอยถาดเสียในกระแส...”
หลังจากพระองค์ทรงเสวยข้าวมธุปายาสของนางสุชาดาแล้ว ก็ทรงบรรลุอภิสัมโพธิญาณในคืนนั้นเอง เหตุนี้ชาวพุทธโดยทั่วไปในเมืองนครจึงเชื่อกันว่า ข้าวมธุปายาสนี่เองที่ส่งผลให้พระพุทธองค์ทรงตรัสรู้ จึงเห็นข้าวมธุปายาสเป็นของดีวิเศษที่บันดาลความสำเร็จได้อย่างเอก เพราะเห็นว่าเมื่อพระพุทธองค์ทรงเสวยข้าวมธุปายาสแล้วทำให้พระองค์เห็นแจ้ง ในธรรม แสดงว่าข้าวมธุปายาสช่วยเพิ่มพูนพลัง จึงก่อให้เกิดปัญญา สมองแจ่มใสปลอดโปร่งเป็นอย่างยิ่ง จึงเห็นได้ว่า ข้าวมธุปายาสก็คือยาขนานวิเศษนั่นเอง
ด้วยความเชื่อดังกล่าวนี้ ประเพณีกวนมธุปายาสยาคูจึงเป็นประเพณีที่ชาวนครปฎิบัติสืบทอดกันมาอย่างแน่นแฟ้น
แต่เดิมนั้นการกวนข้าวมธุปายาส มักจะทำกันในเดือนสิบบ้าง เดือนหกบ้าง แต่ปัจจุบันนี้ทำกันในวันขึ้น 13 ค่ำ และขึ้น 14 ค่ำเดือน 3 การกระทำนั้นแต่เดิมใช้ผู้หญิงพราหมณ์และเชื้อพระวงศ์ผู้หญิง ซึ่งเป็นพรมจารี เป็นผู้กวน แต่ต่อมาไม่ได้ยึดถือในเรื่องนี้กันนัก ซึ่งในปัจจุบันนี้ชาวเมืองมักจะหาเครื่องปรุงมาร่วมกันกวนที่วัด แทนที่จะเป็นตามบ้านเรือนของแต่ละคน
ข้าวมธุปายาส (ข้าวยาคู)
สูตรของหมู่ที่ 10 ตำบลท่าแค จังหวัดพัทลุง
เครื่องปรุงหรือส่วนผสมสำคัญ
- แป้งข้าวเหนียว 4 กก.
- แป้งข้าวจ้าว 1 กก.
- น้ำตาล 7 กก.
- มะพร้าว 50 ลูก
- กล้วยน้ำว้า 3-4 หวี
- อ้อย(น้ำอ้อย) พอประมาณ
- ถั่ว พอประมาณ
- งาขาว/งาดำ พอประมาณ
- มันเทศสีเหลือง/ม่วง พอประมาณ
- ฟักทอง พอประมาณ
- น้ำเตยหอม พอประมาณ
- น้ำนมข้าว พอประมาณ
- นมข้นหวาน 8 กระป๋อง
- เกลือ
- น้ำมันพืช
วิธีปรุง
- คั้นกะทิ แล้วแบ่งเป็น 2 ส่วน คือส่วนหัวกะทิ กับ ส่วนหางกะทิ
- นำหัวกะทิเคี่ยวจนแตกมัน
- นำหางกะทิไปต้มกับผักที่หั่นบางๆจนเปื่อย
- นำแป้งข้าวจ้าว/แป้งข้าวเหนียว ละลายกับน้ำใบเตย อย่าให้เหลวมาก
- นำผักที่ต้มจนเปื่อยมาผสมกับแป้งที่ละลายแล้ว จากนั้นนำไปใส่รวมกับหัวกะทิที่เคี่ยวจนแตกมัน
- นำส่วนผสมทั้งหมดเคี่ยวไปเรื่อยๆ อย่าหยุด อย่าให้ไหม้ เคี่ยวไปจนหนืด (ส่วนน้ำมันพืชก็เติมไปเรื่อยๆ ถ้าออกมันแล้วไม่ต้องเติม)
- ตักใส่ถาดตั้งไว้ให้เย็น ตักเป็นชิ้นๆนำไปแจกจ่ายรับประทานได้
(ข้อมูลจาก ป้าอ่ำ กลิ่นเขียว ชาวบ้าน หมู่ที่ 10 ตำบลท่าแค จังหวัดพัทลุง)
ข้าวมธุปายาส (ข้าวยาคู)
สูตรของวัดชายนา ตำบลนา จังหวัดนครศรีธรรมราช
เครื่องปรุง
- น้ำนมข้าว
- ทุเรียนสด
- นม
- ขนุน
- องุ่น
- น้ำตาลทราย
- น้ำผึ้งรวง
- กล้วย
- เผือก
- มัน
- มะตูม
- ขนมพอง
- มังคุด
- ละมุด
- ฟักทอง
- ข้าวโพด
- อินทผลัม
- มะละกอ
- ทุเรียนกวน
- หอม
- กระเทียมเจียว
- น้ำมันมะพร้าว
- ข้าวเม่า
- แป้งมันสำปะหลัง
- แป้งหมี่
- จำปาดะ
- น้ำอ้อย
- ข้าวตอก
- ขนมลา
- ข้าวอ่อน (ท้องข้าว)
- น้ำตาลขัณฑสกร
- แป้งข้าวจ้าว 1.5 กก.
- แป้งข้าวเหนียว 10 กก.
- น้ำมันบัว
- กะทิ
- พริกไทย
- ผักชี
- สาคูวิลาด
- น้ำตาลกรวด
- พุทรา
- ส้มแป้น
- ข้าวโพดอ่อน (เอาเฉพาะเมล็ดมาหั่นละเอียด)
- ราทั้งห้า (ยกเว้นราดำ เพราะมีกลิ่นฉุนมาก)
- น้ำบัวบก
- ถั่วลิสงคั่ว
- ลูกจัน
- ดอกจัน
- พริกไทยล่อน (เมล็ดสีขาว)
- ลูกกระวาน
- กานพลู
- ข้าวฟ่าง
- อบเชย
- โป๊ยกั๊ก
- ชะเอม
- โกศทั้งห้า
- ดีปลีเชือก
- ขิงแห้ง
- หัวเปราะ
- หัวกะชาย
หมายเหตุ น้ำนมข้าว ได้จากข้าวที่รวงยังไม่แก่ กำลังมีน้ำนม นำข้าวนั้นมาตำทั้งเมล็ดโดยที่ยังมีเปลือกหุ้มอยู่ เมื่อตำแล้วก็คั้นเอาน้ำของข้าว ซึ่งเรียกกันว่า “น้ำนม” น้ำนมข้าว เป็นเครื่องปรุงที่สำคัญที่สุด ในการกวนข้าวมธุปายาส(ยาคู) ซึ่งจะขาดเสียไม่ได้
(เครื่องปรุงที่ใช้ส่วนใหญ่ เป็นไปตามสภาพท้องถิ่นและฤดูกาลของพืชผลเป็นสำคัญ)
วิธีกวนข้าวมธุปายาส (ยาคู)
- นำน้ำนมข้าว และเครื่องปรุงต่างๆพร้อมทั้งกะทิใส่ลงไปในกระทะขนาดใหญ่
- ใส่น้ำตาลและใส่เครื่องปรุงอื่นๆทั้งหมดลงไป (ยกเว้นเครื่องรา และโกศซึ่งบดละเอียดแล้ว ไม่ได้ผสมในตอนนี้ เก็บไว้โรยตอนที่กวนแล้วเสร็จ)
- นำส่วนผสมทั้งหมดคลุกเคล้าให้เข้ากันดีแล้ว แบ่งใส่กระทะที่เตรียมไว้บนเตา (กระทะใบบัว)
- กวนไปเรื่อยๆจนขนมค่อยๆหนืด เมื่อกวนไม่ไหวแล้วให้เติมน้ำมันพืชลงไป เพื่อให้น้ำมันไปทำให้ขนมแยกตัวออกไม่เกาะกระทะและพาย
- เมื่อกวนได้ที่แล้วก็โรยเครื่องรา โกศ และเครื่องยาทั้งหลายที่บดกันเข้าอย่างละเอียดแล้วนั้นลงไปในกระทะ เป็นอันว่ามธุปายาสพร้อมที่จะบริโภคได้
(ข้อมูลจาก คุณเศรษฐา เพ็ชรสงค์ องค์การบริหารส่วนตำบลท่าแค จังหวัดพัทลุง)
Relate topics
- ก้าวที่ 1 ของ iMedCare ธุรกิจเพื่อสังคมของสงขลา"
- "แผนผังภูมินิเวศ"
- เครือข่าย SUCCESS เมืองควนลังร่วมงานส้มโอเมืองควนลังปี 2567
- "ทีม iMedCare วิถีผู้ดูแลผู้ป่วยที่บ้าน"
- อังกฤษที่ผมเห็น ตอนที่ 11 - 21
- อังกฤษที่ผมเห็น ตอนที่ 1 - 10
- "iMed@home ระบบกลุ่ม"
- สมัชชาสุขภาพจังหวัดสงขลาชูวาระ "พลิกโฉมพลังพลเมืองสงขลาเพื่อสังคมสุขภาวะที่ยั่งยืน"
- กิจกรรมรับบริจาคโลหิตประชารัฐสงขลาประจำเดือนตุลาคม 2567
- “พูดให้น้อย ทำให้เยอะ : ค่านิยมร่วม HCG ของ iMedCare”